วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปลาบู่ทอง




เรื่องปลาบู่ทองเริ่มขึ้นโดยเศรษฐีทารก (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) ผู้มีอาชีพจับปลามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา มีลูกสาวชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวชื่อ อ้าย และ อี่
วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีทารกเกิดบันดาลโทสะจึงฟาดนางขนิษฐาจนตายและทิ้งศพลงคลอง
เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นขนิษฐีผู้เป็นแม่เลี้ยงของเอื้อย และอี่กับอ้ายน้องสาวทั้งสองก็กลั่นแกล้งใช้งานเอื้อยเป็นประจำโดยที่เศรษฐีทารกทำเป็นไม่รับรู้และไม่สนใจ
เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ของตนก็ได้นำข้าวสวยและรำมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน
นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยดูมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงไปแอบสืบจนพบว่านางขนิษฐาได้มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน ดังนั้นเมื่อเอื้อยกำลังทำงานนางขนิษฐีก็ไปจับปลาบู่ทองมาทำอาหารและขอดเกล็ดทิ้งไว้ในครัว
เอื้อยได้พบเกล็ดปลาบู่ทองก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก นางนำเกล็ดไปฝังดินและอธิษฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือ เอื้อยมารดน้ำให้ต้นมะเขือทุกวันจนงอกงาม เมื่อนางขนิษฐีทราบเรื่องเข้าก็จัดการโค่นต้นมะเขือ และเด็ดลูกมะเขือไปจิ้มน้ำพริกกิน
เอื้อยแอบเก็บเมล็ดมะเขือที่เหลือไปฝังดินและอธิษฐานให้ขอแม่ไปเกิดเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองในป่า และไม่ให้ผู้ใดสามารถโค่น ทำลาย หรือเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตเสด็จประพาสป่าได้พบกับต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง เห็นว่าสวยงามยิ่งนัก จึงโปรดให้ทหารนำไปปลูกไว้ในวัง แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ได้ พระเจ้าพรหมทัตจึงประกาศว่า หากผู้ใดสามารถเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้จะให้รางวัลอย่างงาม
ผู้คนมากมายต่างมาร่วมลองถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองรวมถึง นางขนิษฐีและอ้ายกับอี่ก็มาเข้าร่วมลองถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ เอื้อยขอลองบ้างและได้อธิษฐานจิตบอกแม่ว่าขอย้ายแม่เข้าไปปลูกในวัง เอื้อยจึงสามารถถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
พระเจ้าพรมทัตมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเอื้อย จึงชวนเอื้อยเข้าไปอยู่ในวังและแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสี ฝ่ายนางขนิษฐีและลูกสาวทั้งสองรู้สึกอิจฉาเอื้อยอย่างมากจึงวางแผนส่งจดหมายไปบอกเอื้อยว่าเศรษฐีทารกบิดานั้นป่วยหนักขอให้เอื้อยกลับมาเยี่ยมที่บ้าน
เมื่อเอื้อยกลับมาบ้าน นางขนิษฐีก็ได้แกล้งนำกระทะน้ำเดือดไปวางไว้ใต้ไม้กระดานเรือน และทำกระดานกลไว้ เมื่อเอื้อยเหยียบกระดานกลก็ตกลงในหม้อน้ำเดือดจนถึงแก่ความตาย นางขนิษฐีให้อ้ายปลอมตัวเป็นเอื้อยและเดินทางกลับไปยังวังของพระเจ้าพรหมทัต
เอื้อยได้ไปเกิดใหม่เป็นนกแขกเต้า เมื่อเกิดใหม่แล้วก็บินกลับเข้าไปในพระราชวัง พระเจ้าพรหมทัตเห็นนกแขกเต้าแสนรู้ ไม่รู้ว่าเป็นเอื้อยกลับชาติมาเกิดก็เลี้ยงไว้ใกล้ตัว นางอ้ายใจบาปเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ จึงสั่งคนครัวให้นำนกแขกเต้าไปถอนขนและต้มกิน
แม่ครัวถอนขนนกแขกเต้าจนหมดและวางทิ้งไว้บนโต๊ะ เอื้อยในร่างนกแขกเต้าจึงกระเสือกกระสนหลบหนีเข้าไปอยู่ในรูหนู มีหนูช่วยดูแลจนขนขึ้นเป็นปกติ แล้วเอื้อยก็บินหนีเข้าป่าไปจนเจอกับพระฤๅษี
พระฤๅษีตรวจดูด้วยญานอันแก่กล้าพบว่านกแขกเต้าคือเอื้อยกลับชาติมาเกิด และได้รู้ถึงชะตาชีวิตอันแสนรันทดของเอื้อย พระฤๅษีเกิดเวทนาจึงช่วยเสกนกแขกเต้ากลายเป็นคนตามเดิม และได้วาดรูปเด็กชายขึ้นมารูปหนึ่งแล้วเสกให้มีชีวิตเพื่อให้เป็นลูกของเอื้อย เมื่อเด็กชายนั้นโตขึ้นก็ขอแม่เดินทางไปหาบิดา เอื้อยจึงต้องจำยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้บุตรชายฟังและร้อยพวงมาลัยฝากให้บุตรชายนำไปถวายพระเจ้าพรหมทัต
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้พบกับบุตรชายของเอื้อยและได้เห็นพวงมาลัย ก็จำได้ว่าเป็นฝีมือของเอื้อย พระองค์จึงขอให้เด็กชายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้มาลัยนี้มาได้อย่างไร เด็กน้อยจึงเล่าเรื่องที่ได้ฟังจากแม่ให้พระองค์สดับ เมื่อเมื่อพระเจ้าพรมทัตได้ทราบเรื่องทั้งหมด จึงได้ทรงสั่งประหารชีวิตอ้าย อี่ และนางขนิษฐีจนหมดสิ้น และเสด็จไปรับเอื้อยกลับมาครองรักด้วยกันอีกครั้งอย่างมีความสุขตลอดไป 
เรื่องปลาบู่ทองตอนที่1












ตอนที่2








วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แก้วหน้าม้า

ท้
    


    ท้าวภูวดลกับพระนางนันทา ผู้ครองเมืองมิถิลา ได้ให้กำเนิดพระโอรสนามว่า พระปิ่นทองซึ่งเป็นเด็กที่ดื้อมากจนใครๆก็ต่างเอือมระอา ด้วยความกังวลต่อบุตรชาย ท้าวภูวดลกับมเหสีจึงสั่งให้นายทหารตามเสด็จพระปิ่นทองเวลาที่บุตรของตนออกไปเล่นนอกวัง
วันหนึ่งพระปิ่นทองขอออกไปเล่นนอกวังพร้อมด้วยทหารตามเสด็จ ระหว่างที่กำลังเล่นว่าวอยู่นั้น ได้พบเจอกับ แก้วที่ออกไปช่วยแม่เลี้ยงม้า เทวดาเห็นว่าพระปิ่นทองกับแก้วนั้นเป็นเนื้อคู่กัน จึงบันดาลให้ว่าวหลุดลอยไปเพื่อให้ทั้งสองได้พบกัน พระปิ่นทองรีบวิ่งตามไปเก็บว่าวที่ลอยไปตกลงบริเวณที่แก้วเลี้ยงม้า และต่อว่าที่แก้วบังอาจมาเก็บว่าวของตน ด้วยความโกรธแก้วจึงไม่ยอมคืนว่าวให้ พระปิ่นทองจึงสั่งให้นายสุขกับนายตุ่ย นายทหารคู่ใจวิ่งตามไปเอาว่าวคืนมาจากแก้ว
แต่ด้วยความที่พวกม้าช่วยแก้วเอาไว้ ทำให้นายทหารไม่สามารถเอาว่าวคืนมาได้ พระปิ่นทองเห็นท่าไม่ดีจึงนึกอุบายขอเจรจากับแก้ว ว่าหากนางคืนว่าวให้ตน ตนจะให้แก้วแหวนเงินทองตามที่นางต้องการ แต่แก้วก็ยังไม่สนใจ พระปิ่นทองจึงโกหกโดยการยื่นขอเสนอให้แก้วเป็นมเหสี แก้วดีใจมากรีบรับคำและคืนว่าวแก่พระปิ่นทองทันที
ฝ่ายนายทหารรีบนำเรื่องพระปิ่นทองมาทูลกับท้าวภูวดล ท้าวภูวดลให้นายทหารเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพราะเกรงว่าหากพระนางนันทาจะรู้เข้า และต้องทำตามสัญญา
ส่วนแก้วก็รีบกลับมาบ้านเพื่อบอกข่าวกับพ่อแม่ว่าพระปิ่นทองจะรับตนไปเป็นมเหสี แต่ไม่มีใครเชื่อนาง แก้วรอคอยให้พระปิ่นทองมารับตนเป็นมเหสีจนผ่ายผอม พระปิ่นทองก็ยังไม่ยอมมาตามสัญญา นางนิ่มกับนายมั่นผู้เป็นพ่อและแม่จึงไปถามความจากชาวบ้านจนรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง จึงตัดสินใจพาแก้วเข้าวังเพื่อทวงสัญญา
เมื่อท้าวภูวดลทราบเรื่องจึงกริ้วมาก และสั่งประหารทั้งสามแม่ลูก พระนางนันทาบังเอิญทราบเรื่องจึงบอกให้ท้าวภูวดลและพระปิ่นทองรักษาสัญญา ด้วยเหตุนี้เองพระปิ่นทองจึงต้องยอมรับแก้วมาเป็นมเหสี โดยมีวอมารับที่บ้าน และจัดงานพิธีอภิเษกอย่างยิ่งใหญ่
พระปิ่นทองอับอายมาก จึงทำท่ารังเกียจไม่ยอมออกมาพบกับแก้ว แก้วจึงเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากจนต้องบุกเข้าไปหาพระปิ่นทองเอง พระปิ่นทองจึงสั่งให้มีเวรยามเฝ้าไม่ให้แก้วเข้ามาหาตน ท้าวภูวดลรู้เรื่องเข้าก็รู้สึกอับอาย จึงคิดอุบายหาทางกลั่นแกล้งแก้วให้ทนไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายไปแทน
ท้าวภูวดลหาทางแกล้งแก้วด้วยการสั่งให้ไปยกเขาพระสุเมรุมาให้ได้ภายในเจ็ดวัน หากยกไม่ได้จะถูกประหาร เมื่อได้รับคำสั่ง แก้วจึงออกเดินทางไปตามหาเขาพระสุเมรุ และอธิษฐานว่าหากตนเป็นคู่แท้ของพระปิ่นทองจริง ขอให้พบกับเขาพระสุเมรุด้วยเถิด
ระหว่างการเดินทาง แก้วต้องพบเจอกับสัตว์ร้ายที่หวังจะมาทำร้าย แต่ก็โชคดีที่พระฤาษีเข้ามาช่วยไว้ทัน เมื่อพระฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงช่วยถอดหน้าม้าให้แก้วกลับกลายเป็นสาวสวย พร้อมเสกเรือเหาะและมีดอีโต้วิเศษให้เป็นอาวุธ นางแก้วกราบลาพระฤาษีพร้อมสวมหน้าม้าไว้ดังเดิม ก่อนจะนั่งเรือเหาะไปเจอกับเขาพระสุเมรุ
เมื่อพบเขาพระสุเมรุ ยักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าเขาพระสุเมรุบอกให้แก้วถอดปริศนาให้ได้ก่อนจะยกเขาให้ แต่แก้วไขปริศนาไม่ออก จึงฉวยโอกาสตอนยักษ์เผลอ และรีบตัดเขาเหาะหนีไป เมื่อแก้วแบกเขาเหาะกลับมาถึงเมืองมิถิลา ท้าวภูวดลก็ผิดหวังที่แก้วสามารถทำตามข้อตกลงได้ จึงหาทางเลี่ยงสัญญาโดยการให้พระปิ่นทองหนีออกประภาสต่างเมือง และหาทางกลั่นแกล้งแก้วต่อไป
ก่อนออกเดินทางพระปิ่นทองสั่งนางแก้วว่า ถ้าตนกลับมาแล้วนางยังไม่มีลูก แก้วจะต้องถูกประหาร แก้วจึงคิดหาวิธีมีลูกกับพระปิ่นทอง โดยนั่งเรือเหาะไปดักรอพระปิ่นทองระหว่างทาง พร้อมถอดหน้าม้าออก พระปิ่นทองได้เจอกับโฉมหน้าอันงดงามของแก้วที่ถอดรูปแล้ว ก็ถึงกับตกหลุมรัก และขอนางเป็นชายา นางแก้วถอดรูปจึงถามถึงมเหสีของพระปิ่นทอง แต่พระปิ่นทองกลับตอบว่ามเหสีของตนเป็นหญิงอัปลักษณ์ แก้วได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ และคิดหาทางกลั่นแกล้งพระปิ่นทองจนพอใจ
แก้วยอมอยู่กินกับพระปิ่นทองจนตั้งครรภ์ พระปิ่นทองจึงขอให้แก้วกลับไปอยู่ในวังด้วยกัน แต่แก้วพยายามหาข้ออ้างไม่ไป พระปิ่นทองจึงได้มอบแหวนไว้เพื่อเป็นของขวัญและหลักฐานแก่ลูกที่กำลังจะเกิดมา
    เมื่อพระปิ่นทองกลับถึงเมือง แก้วหน้าม้ารีบตามไปดักหน้าและแกล้งถามว่าไปเจอสาวที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า พระปิ่นทองรีบโกหกว่าไม่เจอใคร พร้อมทวงสัญญาเรื่องที่แก้วจะต้องตั้งครรภ์ แก้วจึงรีบแสดงตัวว่าตนตั้งครรภ์ ซึ่งสร้างความดีใจให้กับพระนางนันทาเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่พระปิ่นทองไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงคิดหนีไปต่างเมืองโดยไม่ยอมให้แก้วไปด้วย แต่พระปิ่นทองก็ถูกพวกยักษ์จับตัวเอาไว้
ฝ่ายนางแก้วเมื่อคลอดลูกชายออกมา ก็เอาลูกไปฝากเอาไว้กับพระฤาษี พระฤาษีตั้งชื่อให้ว่า พระปิ่นแก้วจากนั้นนางแก้วก็ไปตามหาพระปิ่นทองที่หายตัวไปตามญาณที่พระฤาษีชี้ทางให้ ระหว่างทางแก้วแปลงกายเป็นชายเข้าไปช่วยพระปิ่นทองให้รอดพ้นจากท้าวพาลราช แก้วฆ่าท้าวพาลราชตาย พวกยักษ์ที่เหลือจึงต่างพากันยอมสยบแทบเท้าแก้ว และยอมยกเมืองให้พระปิ่นทอง
พระปิ่นทองทำท่าจะสนใจลูกสาวยักษ์สองคนคือ เจ้าหญิงสร้อยสุวรรณและเจ้าหญิงจันทร แก้วรู้เข้าจึงรีบไปพาสองเจ้าหญิงมาหาพระฤาษี และบอกเรื่องราวที่แท้จริงว่าตนเป็นใคร เมื่อเจ้าหญิงทั้งสองได้รู้เรื่องราวของแก้ว ก็สัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ ก่อนที่จะกลับไปสู่เมืองยักษ์ตามเดิม
แก้วพาสองธิดาเมืองยักษ์กลับมายกให้พระปิ่นทอง พระปิ่นทองจึงชวนสองธิดายักษ์กลับเมืองมิถิลาไปด้วยกัน แก้วรู้เข้าจึงรีบสวมหน้าม้าขึ้นเรือเหาะไปดักหน้า เมื่อพระปิ่นทองกลับมาถึงเมืองมิถิลา แก้วก็อุ้มพระปิ่นแก้วมารอรับ และแสดงแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบไว้ให้เป็นหลักฐานว่านี้คือลูกของพระปิ่นทองจริง
     กล่าวถึงท้าวกายมาต ซึ่งเป็นญาติกับท้าวพาลราชที่ถูกแก้วสังหาร เมื่อท้าวกายมาตทราบเรื่อง ก็เกิดความแค้นจนยกไพร่พลยักษ์มาล้อมเมืองมิถิลาเอาไว้ พระปิ่นทองทำอะไรไม่ถูกและคิดแต่ว่าคงจะต้องเสียเมืองให้ยักษ์อย่างแน่นอน ธิดายักษ์ทั้งสองเกรงว่าพระปิ่นทองจะพ่ายแพ้แก่ยักษ์ จึงบอกความจริงว่าแก้วคือใคร เมื่อพระปิ่นทองรู้เรื่อง จึงรีบไปขอร้องให้แก้วกลับมาช่วย แต่แก้วไม่ยอม
แต่แก้วก็ยังเป็นห่วงบ้านเมืองและพระนางนันทา แก้วจึงรีบแปลงกายเป็นชายออกสู้กับยักษ์ ขณะที่กำลังต่อสู้ อีโต้วิเศษไม่สามารถทำอะไรยักษ์ได้เลย และแก้วก็กำลังจะพลาดท่าท้าวกายมาตอยู่แล้ว แต่เมื่อแก้วเหาะข้ามหัวยักษ์ ก็ทำให้มนต์ยักษ์เสื่อมและสามารถฆ่าท้าวกายมาตได้สำเร็จ ท่ามกลางความยินดีของชาวมิถิลา
พระปิ่นทองสงสัยว่าชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยต้องเป็นแก้วแน่ๆ จึงตามไปงอนง้อขอคืนดี นางแก้วยังคงเล่นตัว จนพระปิ่นทองขู่ว่าจะเชือดคอตาย แก้วจึงยอมถอดหน้าม้าและเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทองอีกครั้ง และตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา

ฝ่ายท้าวประกายกรด เมื่อรู้ข่าวว่าท้าวประกายมาตถูกฆ่าตายก็แค้น และกลับมาบุกเมืองมิถิลาอีกครั้ง พระปิ่นแก้วยกทัพไปสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ ทำให้แก้วที่กำลังท้องแก่ต้องออกไปสู้กับยักษ์แทน ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ท้าวประกายกรดใช้เท้าถีบท้องของแก้ว จนทำให้นางคลอดพระธิดาออกมาถึง 3 องค์ ท้าวประกายกรดตกใจมากที่รู้ว่าศัตรูของตนเป็นหญิง ระหว่างนั้นเอง แก้วใช้ผ้าเปื้อนเลือดฟาดเข้าใส่ยักษ์ จนทำให้มนต์ยักษ์เสื่อม และท้าวประกายกรดก็ถูกฆ่าตายในที่สุด ตั้งแต่นั้นมา เมืองมิถิลาจึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง