วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สังข์ทอง

นิทานเรื่องสังข์ทอง อีกวรรณกรรมพื้นบ้านและเป็นนิทานพื้นบ้านไทย ที่มีเนื้อเรื่องมีความสนุกสนานและเป็นนิยมมีตัวละครที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เจ้าเงาะซึ่งคือพระสังข์กับนางรจนา เป็นนิทานที่คนไทยในท้องถิ่นต่างๆ คุ้นเคยและชื่นชอบ ดังปรากฏแพร่หลายในท้องถิ่นต่างๆ หลากหลายสำนวนนอกจากความนิยมนิทานสังข์ทองในรูปแบบของวรรณกรรมแล้ว นิทานสังข์ทองยังมีความสัมพันธ์และบทบาทในวิถีชีวิตไทยด้านต่างๆ เช่น ชื่อสถานที่ สำนวนไทย เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย ตำราพยากรณ์ชีวิต จิตรกรรม ตลอดจนศิลปะแขนงต่างๆ
แม้ในปัจจุบัน นิทานสังข์ทองก็ยังได้รับความนิยมและดำรงอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น เนื้อหาในหนังสือแบบเรียนหลายหลักสูตร หนังสือการ์ตูน หนังสือนิทาน ภาพยนตร์การ์ตูนละครพื้นบ้าน นวนิยาย ตลอดจนงานศิลปะร่วมสมัย เช่น งานประติมากรรม การแสดงละครหุ่นสมัยใหม่ นอกจากนี้เนื้อหาและตัวละครจากนิทานสังข์ทองยังสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เช่น ชื่อพันธุ์ไม้ ชื่อรายการโทรทัศน์ ฯลฯ กล่าวได้ว่านิทานสังข์ทอง เป็นนิทานที่คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบมาหลายยุคหลายสมัยนับเป็นมรดกทางจินตนาการของคนไทย ที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
นิทานพื้นบ้านไทย เรื่องสังข์ทอง
ท้าวยศวิมล” มีมเหสีชื่อ”นางจันท์เทวี” มีสนมเอกชื่อ “นางจันทาเทวี” …พระองค์ไม่มีโอรสธิดาจึงบวงสรวงและรักษาศีลห้าเพื่อขอบุตร …และประกาศแก่พระมเหสีและนางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครอง
อยู่มานางจันท์เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็น”หอยสังข์” …นางจันทาเทวีเกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทาเทวี จึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง …นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา 5 ปี พระโอรสในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย
นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมไทย สังข์ทอง
ในเวลาต่อมา พระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร ท้าวยศวิมลจึงมีบัญชาให้จับตัวพระสังข์มาถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์(พญานาค) ราชาแห่งเมืองบาดาลก็มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อไปจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปีบริบูรณ์
วันหนึ่ง นางพันธุรัตได้ไปหาอาหาร พระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง และได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง(รองเท้าทองนั้นเอง) ไม้พลอง และพระสังข์ก็รู้ความจริงว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ เมื่อพระสังข์พบเข้ากับโครงกระดูก จึงได้เตรียมแผนการหนีด้วยการสวมกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไป
เมื่อนางพันธุรัตทราบว่าพระสังข์หนีไป ก็ออกตามหาจนพบพระสังข์อยู่บนเขาลูกหนึ่ง จึงขอร้องให้พระสังข์ลงมา แต่พระสังข์ก็ไม่ยอม นางพันธุรัตจึงเขียนมหาจินดามนตร์ที่ใช้เรียกเนื้อเรียกปลาได้ไว้ที่ก้อนหิน ก่อนที่นางจะอกแตกตาย ซึ่งพระสังข์ได้ลงมาท่องมหาจินดามนตร์จนจำได้ และได้สวมรูปเงาะออกเดินทางต่อไป
นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมไทย เรื่องสังข์ทอง
พระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมี “ท้าวสามล”และ “พระนางมณฑา” ปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะ พระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ “รจนา” มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่งท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งธิดาทั้ง 6 ต่างเสี่ยงมาลัยได้คู่ครองทั้งสิ้น เว้นแต่นางรจนาที่มิได้เลือกเจ้าชายองค์ใดเป็นคู่ครอง ท้าวสามลจึงได้ให้ทหารไปนำตัวพระสังข์ในร่างเจ้าเงาะซึ่งเป็นชายเพียงคนเดียวที่เหลือในเมืองสามล ซึ่งนางรจนาเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ จึงได้เสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ทำให้ท้าวสามลโกรธมากจึงเนรเทศนางรจนาไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ
นิทานพื้นบ้านไทย นิทานก่อนนอน เรื่องสังข์ทอง
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ อาสน์ที่ประทับของพระอินทร์เกิดแข็งกระด้าง อันเป็นสัญญาณว่ามีผู้มีบุญกำลังเดือดร้อน จึงส่องทิพยเนตรลงไปพบเหตุการณ์ในเมืองสามล จึงได้แปลงกายเป็นกษัตริย์เมืองยกทัพไปล้อมเมืองสามล ท้าให้ท้าวสามลออกมาแข่งตีคลีกับพระองค์ หากท้าวสามลแพ้ พระองค์จะยึดเมืองสามลเสีย …ท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งตีคลีกับพระอินทร์ แต่ก็แพ้ไม่เป็นท่า จึงจำต้องเรียกเจ้าเงาะให้มาช่วยตีคลี ซึ่งนางรจนาได้ขอร้องให้สามีช่วยถอดรูปเงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูกขอร้องจนใจอ่อน และเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์
นิทานไทย_สังข์ทอง
หลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองสามลแล้ว พระอินทร์ได้ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล และเปิดโปงความชั่วของพระนางจันทาเทวีผู้เป็นสนมเอก พร้อมกับสั่งให้ท้าวยศวิมลไปรับพระนางจันท์เทวีกับพระสังข์มาอยู่ด้วยกันดังเดิม ท้าวยศวิมลจึงยกขบวนเสด็จไปรับพระนางจันท์เทวีกลับมา และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเมื่อตามหาพระสังข์
ท้าวยศวิมลและพระนางจันท์เทวีปลอมตัวเป็นสามัญชนเข้าไปอยู่ในวัง โดยท้าวยศวิมลเข้าไปสมัครเป็นช่างสานกระบุง ตะกร้า ส่วนพระนางจันท์เทวีเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว และในวันหนึ่ง พระนางจันท์เทวีก็ปรุงแกงฟักถวายพระสังข์ โดยพระนางจันท์เทวีได้แกะสลักชิ้นฟักเจ็ดชิ้นเป็นเรื่องราวของพระสังข์ตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้พระสังข์รู้ว่าพระมารดาตามมาแล้ว จึงมาที่ห้องครัวและได้พบกับพระมารดาที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้ง…หลังจากนั้น ท้าวยศวิมล พระนางจันท์เทวี พระสังข์กับนางรจนาได้เดินทางกลับเมืองยศวิมล ท้าวยศวิมลได้สั่งประหารพระนางจันทาเทวี และสละราชสมบัติให้พระสังข์ได้ครองราชย์สืบต่อมา


วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปลาบู่ทอง




เรื่องปลาบู่ทองเริ่มขึ้นโดยเศรษฐีทารก (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) ผู้มีอาชีพจับปลามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา มีลูกสาวชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวชื่อ อ้าย และ อี่
วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีทารกเกิดบันดาลโทสะจึงฟาดนางขนิษฐาจนตายและทิ้งศพลงคลอง
เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นขนิษฐีผู้เป็นแม่เลี้ยงของเอื้อย และอี่กับอ้ายน้องสาวทั้งสองก็กลั่นแกล้งใช้งานเอื้อยเป็นประจำโดยที่เศรษฐีทารกทำเป็นไม่รับรู้และไม่สนใจ
เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ของตนก็ได้นำข้าวสวยและรำมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน
นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยดูมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงไปแอบสืบจนพบว่านางขนิษฐาได้มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน ดังนั้นเมื่อเอื้อยกำลังทำงานนางขนิษฐีก็ไปจับปลาบู่ทองมาทำอาหารและขอดเกล็ดทิ้งไว้ในครัว
เอื้อยได้พบเกล็ดปลาบู่ทองก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก นางนำเกล็ดไปฝังดินและอธิษฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือ เอื้อยมารดน้ำให้ต้นมะเขือทุกวันจนงอกงาม เมื่อนางขนิษฐีทราบเรื่องเข้าก็จัดการโค่นต้นมะเขือ และเด็ดลูกมะเขือไปจิ้มน้ำพริกกิน
เอื้อยแอบเก็บเมล็ดมะเขือที่เหลือไปฝังดินและอธิษฐานให้ขอแม่ไปเกิดเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองในป่า และไม่ให้ผู้ใดสามารถโค่น ทำลาย หรือเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตเสด็จประพาสป่าได้พบกับต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง เห็นว่าสวยงามยิ่งนัก จึงโปรดให้ทหารนำไปปลูกไว้ในวัง แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ได้ พระเจ้าพรหมทัตจึงประกาศว่า หากผู้ใดสามารถเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้จะให้รางวัลอย่างงาม
ผู้คนมากมายต่างมาร่วมลองถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองรวมถึง นางขนิษฐีและอ้ายกับอี่ก็มาเข้าร่วมลองถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จ เอื้อยขอลองบ้างและได้อธิษฐานจิตบอกแม่ว่าขอย้ายแม่เข้าไปปลูกในวัง เอื้อยจึงสามารถถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
พระเจ้าพรมทัตมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเอื้อย จึงชวนเอื้อยเข้าไปอยู่ในวังและแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสี ฝ่ายนางขนิษฐีและลูกสาวทั้งสองรู้สึกอิจฉาเอื้อยอย่างมากจึงวางแผนส่งจดหมายไปบอกเอื้อยว่าเศรษฐีทารกบิดานั้นป่วยหนักขอให้เอื้อยกลับมาเยี่ยมที่บ้าน
เมื่อเอื้อยกลับมาบ้าน นางขนิษฐีก็ได้แกล้งนำกระทะน้ำเดือดไปวางไว้ใต้ไม้กระดานเรือน และทำกระดานกลไว้ เมื่อเอื้อยเหยียบกระดานกลก็ตกลงในหม้อน้ำเดือดจนถึงแก่ความตาย นางขนิษฐีให้อ้ายปลอมตัวเป็นเอื้อยและเดินทางกลับไปยังวังของพระเจ้าพรหมทัต
เอื้อยได้ไปเกิดใหม่เป็นนกแขกเต้า เมื่อเกิดใหม่แล้วก็บินกลับเข้าไปในพระราชวัง พระเจ้าพรหมทัตเห็นนกแขกเต้าแสนรู้ ไม่รู้ว่าเป็นเอื้อยกลับชาติมาเกิดก็เลี้ยงไว้ใกล้ตัว นางอ้ายใจบาปเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ จึงสั่งคนครัวให้นำนกแขกเต้าไปถอนขนและต้มกิน
แม่ครัวถอนขนนกแขกเต้าจนหมดและวางทิ้งไว้บนโต๊ะ เอื้อยในร่างนกแขกเต้าจึงกระเสือกกระสนหลบหนีเข้าไปอยู่ในรูหนู มีหนูช่วยดูแลจนขนขึ้นเป็นปกติ แล้วเอื้อยก็บินหนีเข้าป่าไปจนเจอกับพระฤๅษี
พระฤๅษีตรวจดูด้วยญานอันแก่กล้าพบว่านกแขกเต้าคือเอื้อยกลับชาติมาเกิด และได้รู้ถึงชะตาชีวิตอันแสนรันทดของเอื้อย พระฤๅษีเกิดเวทนาจึงช่วยเสกนกแขกเต้ากลายเป็นคนตามเดิม และได้วาดรูปเด็กชายขึ้นมารูปหนึ่งแล้วเสกให้มีชีวิตเพื่อให้เป็นลูกของเอื้อย เมื่อเด็กชายนั้นโตขึ้นก็ขอแม่เดินทางไปหาบิดา เอื้อยจึงต้องจำยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้บุตรชายฟังและร้อยพวงมาลัยฝากให้บุตรชายนำไปถวายพระเจ้าพรหมทัต
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้พบกับบุตรชายของเอื้อยและได้เห็นพวงมาลัย ก็จำได้ว่าเป็นฝีมือของเอื้อย พระองค์จึงขอให้เด็กชายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้มาลัยนี้มาได้อย่างไร เด็กน้อยจึงเล่าเรื่องที่ได้ฟังจากแม่ให้พระองค์สดับ เมื่อเมื่อพระเจ้าพรมทัตได้ทราบเรื่องทั้งหมด จึงได้ทรงสั่งประหารชีวิตอ้าย อี่ และนางขนิษฐีจนหมดสิ้น และเสด็จไปรับเอื้อยกลับมาครองรักด้วยกันอีกครั้งอย่างมีความสุขตลอดไป 
เรื่องปลาบู่ทองตอนที่1












ตอนที่2








วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แก้วหน้าม้า

ท้
    


    ท้าวภูวดลกับพระนางนันทา ผู้ครองเมืองมิถิลา ได้ให้กำเนิดพระโอรสนามว่า พระปิ่นทองซึ่งเป็นเด็กที่ดื้อมากจนใครๆก็ต่างเอือมระอา ด้วยความกังวลต่อบุตรชาย ท้าวภูวดลกับมเหสีจึงสั่งให้นายทหารตามเสด็จพระปิ่นทองเวลาที่บุตรของตนออกไปเล่นนอกวัง
วันหนึ่งพระปิ่นทองขอออกไปเล่นนอกวังพร้อมด้วยทหารตามเสด็จ ระหว่างที่กำลังเล่นว่าวอยู่นั้น ได้พบเจอกับ แก้วที่ออกไปช่วยแม่เลี้ยงม้า เทวดาเห็นว่าพระปิ่นทองกับแก้วนั้นเป็นเนื้อคู่กัน จึงบันดาลให้ว่าวหลุดลอยไปเพื่อให้ทั้งสองได้พบกัน พระปิ่นทองรีบวิ่งตามไปเก็บว่าวที่ลอยไปตกลงบริเวณที่แก้วเลี้ยงม้า และต่อว่าที่แก้วบังอาจมาเก็บว่าวของตน ด้วยความโกรธแก้วจึงไม่ยอมคืนว่าวให้ พระปิ่นทองจึงสั่งให้นายสุขกับนายตุ่ย นายทหารคู่ใจวิ่งตามไปเอาว่าวคืนมาจากแก้ว
แต่ด้วยความที่พวกม้าช่วยแก้วเอาไว้ ทำให้นายทหารไม่สามารถเอาว่าวคืนมาได้ พระปิ่นทองเห็นท่าไม่ดีจึงนึกอุบายขอเจรจากับแก้ว ว่าหากนางคืนว่าวให้ตน ตนจะให้แก้วแหวนเงินทองตามที่นางต้องการ แต่แก้วก็ยังไม่สนใจ พระปิ่นทองจึงโกหกโดยการยื่นขอเสนอให้แก้วเป็นมเหสี แก้วดีใจมากรีบรับคำและคืนว่าวแก่พระปิ่นทองทันที
ฝ่ายนายทหารรีบนำเรื่องพระปิ่นทองมาทูลกับท้าวภูวดล ท้าวภูวดลให้นายทหารเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพราะเกรงว่าหากพระนางนันทาจะรู้เข้า และต้องทำตามสัญญา
ส่วนแก้วก็รีบกลับมาบ้านเพื่อบอกข่าวกับพ่อแม่ว่าพระปิ่นทองจะรับตนไปเป็นมเหสี แต่ไม่มีใครเชื่อนาง แก้วรอคอยให้พระปิ่นทองมารับตนเป็นมเหสีจนผ่ายผอม พระปิ่นทองก็ยังไม่ยอมมาตามสัญญา นางนิ่มกับนายมั่นผู้เป็นพ่อและแม่จึงไปถามความจากชาวบ้านจนรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง จึงตัดสินใจพาแก้วเข้าวังเพื่อทวงสัญญา
เมื่อท้าวภูวดลทราบเรื่องจึงกริ้วมาก และสั่งประหารทั้งสามแม่ลูก พระนางนันทาบังเอิญทราบเรื่องจึงบอกให้ท้าวภูวดลและพระปิ่นทองรักษาสัญญา ด้วยเหตุนี้เองพระปิ่นทองจึงต้องยอมรับแก้วมาเป็นมเหสี โดยมีวอมารับที่บ้าน และจัดงานพิธีอภิเษกอย่างยิ่งใหญ่
พระปิ่นทองอับอายมาก จึงทำท่ารังเกียจไม่ยอมออกมาพบกับแก้ว แก้วจึงเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากจนต้องบุกเข้าไปหาพระปิ่นทองเอง พระปิ่นทองจึงสั่งให้มีเวรยามเฝ้าไม่ให้แก้วเข้ามาหาตน ท้าวภูวดลรู้เรื่องเข้าก็รู้สึกอับอาย จึงคิดอุบายหาทางกลั่นแกล้งแก้วให้ทนไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายไปแทน
ท้าวภูวดลหาทางแกล้งแก้วด้วยการสั่งให้ไปยกเขาพระสุเมรุมาให้ได้ภายในเจ็ดวัน หากยกไม่ได้จะถูกประหาร เมื่อได้รับคำสั่ง แก้วจึงออกเดินทางไปตามหาเขาพระสุเมรุ และอธิษฐานว่าหากตนเป็นคู่แท้ของพระปิ่นทองจริง ขอให้พบกับเขาพระสุเมรุด้วยเถิด
ระหว่างการเดินทาง แก้วต้องพบเจอกับสัตว์ร้ายที่หวังจะมาทำร้าย แต่ก็โชคดีที่พระฤาษีเข้ามาช่วยไว้ทัน เมื่อพระฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงช่วยถอดหน้าม้าให้แก้วกลับกลายเป็นสาวสวย พร้อมเสกเรือเหาะและมีดอีโต้วิเศษให้เป็นอาวุธ นางแก้วกราบลาพระฤาษีพร้อมสวมหน้าม้าไว้ดังเดิม ก่อนจะนั่งเรือเหาะไปเจอกับเขาพระสุเมรุ
เมื่อพบเขาพระสุเมรุ ยักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าเขาพระสุเมรุบอกให้แก้วถอดปริศนาให้ได้ก่อนจะยกเขาให้ แต่แก้วไขปริศนาไม่ออก จึงฉวยโอกาสตอนยักษ์เผลอ และรีบตัดเขาเหาะหนีไป เมื่อแก้วแบกเขาเหาะกลับมาถึงเมืองมิถิลา ท้าวภูวดลก็ผิดหวังที่แก้วสามารถทำตามข้อตกลงได้ จึงหาทางเลี่ยงสัญญาโดยการให้พระปิ่นทองหนีออกประภาสต่างเมือง และหาทางกลั่นแกล้งแก้วต่อไป
ก่อนออกเดินทางพระปิ่นทองสั่งนางแก้วว่า ถ้าตนกลับมาแล้วนางยังไม่มีลูก แก้วจะต้องถูกประหาร แก้วจึงคิดหาวิธีมีลูกกับพระปิ่นทอง โดยนั่งเรือเหาะไปดักรอพระปิ่นทองระหว่างทาง พร้อมถอดหน้าม้าออก พระปิ่นทองได้เจอกับโฉมหน้าอันงดงามของแก้วที่ถอดรูปแล้ว ก็ถึงกับตกหลุมรัก และขอนางเป็นชายา นางแก้วถอดรูปจึงถามถึงมเหสีของพระปิ่นทอง แต่พระปิ่นทองกลับตอบว่ามเหสีของตนเป็นหญิงอัปลักษณ์ แก้วได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ และคิดหาทางกลั่นแกล้งพระปิ่นทองจนพอใจ
แก้วยอมอยู่กินกับพระปิ่นทองจนตั้งครรภ์ พระปิ่นทองจึงขอให้แก้วกลับไปอยู่ในวังด้วยกัน แต่แก้วพยายามหาข้ออ้างไม่ไป พระปิ่นทองจึงได้มอบแหวนไว้เพื่อเป็นของขวัญและหลักฐานแก่ลูกที่กำลังจะเกิดมา
    เมื่อพระปิ่นทองกลับถึงเมือง แก้วหน้าม้ารีบตามไปดักหน้าและแกล้งถามว่าไปเจอสาวที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า พระปิ่นทองรีบโกหกว่าไม่เจอใคร พร้อมทวงสัญญาเรื่องที่แก้วจะต้องตั้งครรภ์ แก้วจึงรีบแสดงตัวว่าตนตั้งครรภ์ ซึ่งสร้างความดีใจให้กับพระนางนันทาเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่พระปิ่นทองไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จึงคิดหนีไปต่างเมืองโดยไม่ยอมให้แก้วไปด้วย แต่พระปิ่นทองก็ถูกพวกยักษ์จับตัวเอาไว้
ฝ่ายนางแก้วเมื่อคลอดลูกชายออกมา ก็เอาลูกไปฝากเอาไว้กับพระฤาษี พระฤาษีตั้งชื่อให้ว่า พระปิ่นแก้วจากนั้นนางแก้วก็ไปตามหาพระปิ่นทองที่หายตัวไปตามญาณที่พระฤาษีชี้ทางให้ ระหว่างทางแก้วแปลงกายเป็นชายเข้าไปช่วยพระปิ่นทองให้รอดพ้นจากท้าวพาลราช แก้วฆ่าท้าวพาลราชตาย พวกยักษ์ที่เหลือจึงต่างพากันยอมสยบแทบเท้าแก้ว และยอมยกเมืองให้พระปิ่นทอง
พระปิ่นทองทำท่าจะสนใจลูกสาวยักษ์สองคนคือ เจ้าหญิงสร้อยสุวรรณและเจ้าหญิงจันทร แก้วรู้เข้าจึงรีบไปพาสองเจ้าหญิงมาหาพระฤาษี และบอกเรื่องราวที่แท้จริงว่าตนเป็นใคร เมื่อเจ้าหญิงทั้งสองได้รู้เรื่องราวของแก้ว ก็สัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ ก่อนที่จะกลับไปสู่เมืองยักษ์ตามเดิม
แก้วพาสองธิดาเมืองยักษ์กลับมายกให้พระปิ่นทอง พระปิ่นทองจึงชวนสองธิดายักษ์กลับเมืองมิถิลาไปด้วยกัน แก้วรู้เข้าจึงรีบสวมหน้าม้าขึ้นเรือเหาะไปดักหน้า เมื่อพระปิ่นทองกลับมาถึงเมืองมิถิลา แก้วก็อุ้มพระปิ่นแก้วมารอรับ และแสดงแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบไว้ให้เป็นหลักฐานว่านี้คือลูกของพระปิ่นทองจริง
     กล่าวถึงท้าวกายมาต ซึ่งเป็นญาติกับท้าวพาลราชที่ถูกแก้วสังหาร เมื่อท้าวกายมาตทราบเรื่อง ก็เกิดความแค้นจนยกไพร่พลยักษ์มาล้อมเมืองมิถิลาเอาไว้ พระปิ่นทองทำอะไรไม่ถูกและคิดแต่ว่าคงจะต้องเสียเมืองให้ยักษ์อย่างแน่นอน ธิดายักษ์ทั้งสองเกรงว่าพระปิ่นทองจะพ่ายแพ้แก่ยักษ์ จึงบอกความจริงว่าแก้วคือใคร เมื่อพระปิ่นทองรู้เรื่อง จึงรีบไปขอร้องให้แก้วกลับมาช่วย แต่แก้วไม่ยอม
แต่แก้วก็ยังเป็นห่วงบ้านเมืองและพระนางนันทา แก้วจึงรีบแปลงกายเป็นชายออกสู้กับยักษ์ ขณะที่กำลังต่อสู้ อีโต้วิเศษไม่สามารถทำอะไรยักษ์ได้เลย และแก้วก็กำลังจะพลาดท่าท้าวกายมาตอยู่แล้ว แต่เมื่อแก้วเหาะข้ามหัวยักษ์ ก็ทำให้มนต์ยักษ์เสื่อมและสามารถฆ่าท้าวกายมาตได้สำเร็จ ท่ามกลางความยินดีของชาวมิถิลา
พระปิ่นทองสงสัยว่าชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยต้องเป็นแก้วแน่ๆ จึงตามไปงอนง้อขอคืนดี นางแก้วยังคงเล่นตัว จนพระปิ่นทองขู่ว่าจะเชือดคอตาย แก้วจึงยอมถอดหน้าม้าและเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทองอีกครั้ง และตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา

ฝ่ายท้าวประกายกรด เมื่อรู้ข่าวว่าท้าวประกายมาตถูกฆ่าตายก็แค้น และกลับมาบุกเมืองมิถิลาอีกครั้ง พระปิ่นแก้วยกทัพไปสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ ทำให้แก้วที่กำลังท้องแก่ต้องออกไปสู้กับยักษ์แทน ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ท้าวประกายกรดใช้เท้าถีบท้องของแก้ว จนทำให้นางคลอดพระธิดาออกมาถึง 3 องค์ ท้าวประกายกรดตกใจมากที่รู้ว่าศัตรูของตนเป็นหญิง ระหว่างนั้นเอง แก้วใช้ผ้าเปื้อนเลือดฟาดเข้าใส่ยักษ์ จนทำให้มนต์ยักษ์เสื่อม และท้าวประกายกรดก็ถูกฆ่าตายในที่สุด ตั้งแต่นั้นมา เมืองมิถิลาจึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง














วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561

อุทัยเทวี









                                   


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปกบการ์ตูน




เรื่องเล่าหรือตำนานคางคก   " ตอน นางอุทัยเทวี "

เรื่องราวต่อไปนี้เกี่ยวข้อกับ คางคก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีรูปร่างอัปลักษณ์ หน้าเกลี้ยด นำมาสู่เรื่องราว นิทาน พื้นบ้านสอนคติสนใจ  ตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาช้านาน ให้ปุทุชนรุ่นหลังได้ศึกษา 


อุทัยเทวี  เป็นนิทานพื้นบ้านของไทย   ทางอีสานเรียกว่า นางพญาขี้คันคาก
          นิทานพื้นบ้านเคยนทำมาเป็นละครโทรทัศน์ 1.ปี 2532 ( ปี พ.ศ. ถ้าจำไม่ผิด ) นำแสดงโดย ชาตรี พิญโณ และ สิณี หงษ์มานพ 2.ปี 2544 นำแสดงโดย รติพงษ์ ภู่้มาลี / มาติกา อรรถกรศิริโพธิ์ ดัดแปลงบทประพันธ์โดย บุราณ บทโทรทัศน์โดย พิกุลแก้ว


 เรื่อง อุทัยเทวี      
           ณ นครใต้บาดาลอันเป็นเขตปกครองของ พญานาคราช พระองค์ทรงมีพระธิดาสิริโฉมงดงามองค์หนึ่งนามว่า สมุทมาลา ซึ่งเป็นที่รักดังดวงตาดวงใจ เมื่อถึงคราวจะได้คู่ครองธิดาพญานาคเกิดนึกอยากจะขึ้นไปเที่ยวเล่นบนเมืองมนุษย์ มิไยที่พญานาคและพระมเหสีจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เนื่องด้วยเกรงว่าจะถูกพญาครุฑศัตรูเก่าจับตัวไป พญานาคราชจึงสั่งให้เหล่านางนาคพี่เลี้ยงคอยดูแลพระธิดา อย่าให้คลาดสายตา แต่ด้วยความดื้อรั้นนางสมุทมาลาก็แอบหนีขึ้นไปบนโลกพิภพจนได้ขณะที่ธิดาพญานาคราชซึ่งแปลงร่างเป็นหญิงสาวกำลังเดินเล่นเที่ยวอยู่ในป่าตามลำพัง รุกขเทวดาเห็นความงามของนาง ก็มี ใจปฏิพัทธ์ จึงจำแลงกายเป็นมานพรูปงามมาหาแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้นางเป็นชายา ครั้นพระอินทร์ทราบเรื่องเห็นว่ารุกขเทวดาเอาแต่มัวเมาในความรักไม่ทำหน้าที่พิทักษ์ป่าตามที่ได้รับมอบหมาย จึงเรียกตัวไปสอบสวนและลงโทษให้ไปอยู่นอกฟ้าป่าหิมพานต์ ส่วนธิดาพญานาคเมื่ออยู่คนเดียวตามลำพังก็เกิดความหวั่นกลัว ครั้นจะกลับไปสู่เมืองบาดาลก็เกรงว่าพระบิดาจะลงโทษเพราะบัดนี้ตนกำลังตั้งครรภ์ นางตัดสินใจสำรอกลูกในท้องออกมาเป็นไข่ฟองหนึ่ง พร้อมพ่นพิษนาคคุ้มครองไว้ไม่ให้ไข่ถูกทำลาย แล้วใช้ผ้าสไบของตนห่อไข่ไว้พร้อมกับนำไปซุกไว้ในพงหญ้าริมหนองน้ำโดยถอดแหวนวิเศษไว้ให้ลูกด้วย ครั้นรออยู่อีกระยะหนึ่งเห็นว่ารุกขเทวดาไม่กลับมาหาตนแน่ จึงจำต้องกลับไปอยู่ในบาดาลตามเดิม


             ยังมีคางคกใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งกำลังหิวจนตาลาย เห็นฟองไข่ของธิดาพญานาคก็รีบกลืนลงท้องทันที พิษของพญานาคทำให้คางคกตัวนั้นถึงแก่ความตาย เป็นเวลาเดียวกับที่ไข่ครบกำหนดคลอด พอเปลือกไข่แตกออกภายในก็มีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ซึ่งได้อาศัยอยู่ในซากคางคกนั้นเรื่อยมาด้วยเข้าใจว่าเป็นแม่ของตนที่ชายป่าใกล้หนองน้ำแห่งนั้นมีกระท่อมปลูกอยู่โดดเดี่ยวหลังหนึ่ง เจ้าของเป็นชายชราชื่อว่า ตาโถถาด มีภรรยาชื่อว่า ยายกาวัล ทั้งสองมีฐานะยากจนไร้บุตรหลานคอยดูแล ต้องเก็บผักหักฟืนหาปูหาปลาเลี้ยงชีวิตกันตามลำพัง
              วันหนึ่งสองตายายมาช่วยกันใช้สุ่มหาปลาในหนองน้ำตั้งแต่เช้าจรดเย็นพบแต่ซากคางคกตัวเดียวก็โยนทิ้งไป เด็กหญิงที่อาศัยอยู่ในซากคางคก จึงขอให้ตายายนำตนไปเลี้ยงไว้ สองตายายเกิดเมตตาสงสารเห็นว่าซากคางคกนั้นพูดภาษาคนได้ก็นำกลับบ้านไปด้วยวันนั้นสองตายายไม่มีอาหารเย็นต่างชวนกันไปเก็บผักจากข้างรั้วหมายจะนำมาต้มแกงกินตามมีตามเกิด เด็กหญิงลูกธิดาพญานาคจึงออกจากซากคางคก ใช้แหวนวิเศษที่แม่ทิ้งไว้ให้เนรมิตข้าวปลาอาหารล้วนแต่ของดีๆ ขึ้นมามากมาย แล้วรีบกลับเข้าไปหลบอยู่ในซากคางคกอย่างเดิม สองตายายนึกแปลกใจว่าใครนำอาหารมาให้ วันรุ่งขึ้นได้แกล้งทำทีออกไปหาผักหาปลา แล้วย่องกลับมาแอบดูจึงรู้ความจริง ต่างช่วยกันอ้อนวอนให้หลานออกจากซากคางคกมาอยู่ข้างนอก แต่เด็กหญิงลูกธิดาพญานาคยังอาลัยซากคางคกขอกลับไปอาศัยอยู่อย่างเดิมตายายก็ตามใจ 




   15 ปีผ่านไป เด็กหญิงเติบโตเป็นสาว มีรูปร่างหน้าตางดงาม ผิวขาวเหมือนแสงอาทิตย์ยามอุทัย ตายายได้ตั้งชื่อให้ว่า นางอุทัยเทวี วันหนึ่งถึงคราวที่จะได้พบเนื้อคู่ นางอุทัยนึกอยากไปทำบุญที่วัดจึงเนรมิตดอกไม้ธูปเทียนแล้วให้ตายายพาไป ความงามของนางเป็นที่ร่ำลือของผู้ที่ได้พบเห็นโดยเฉพาะหนุ่มๆ ในครั้งนั้นเผอิญ เจ้าชายสุทราชกุมาร โอรสท้าวการพ และ พระนางกาวิล ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองเมือง ได้มาเที่ยวงานบุญที่วัดด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้าชายทอดพระเนตรเห็นนางอุทัยเกิดมีใจรักใคร่เสน่หา สั่งให้ข้าราชบริพารไปสืบเรื่องราวของหญิงสาวที่พบ นางอุทัยเห็นมีคนตามมาถึงบ้านก็รีบเข้าไปซ่อนตัวในซากคางคก ทหารคนสนิทของเจ้าชายสุทราชกุมารสอบถามตายาย เห็นไม่ยอมบอกความจริง ได้ข่มขู่ว่าเจ้าชายต้องการตัวหลานสาวไปเป็นชายา ตายายโกรธที่ทหารของเจ้าชายมาแสดงอำนาจจึงบอกว่าจะยอมยกให้ก็ต่อเมื่อเจ้าชายสามารถสร้างสะพานเงินสะพานทองจากวังมาสู่ขอที่บ้านของตนเท่านั้นเจ้าเมืองการพ ทราบเรื่องทรงพิโรธสั่งให้ทหารไปจับตัวตายายมาลงโทษฐานลบหลู่พระเกียรติยศ พระนางกาวิลทูลคัดค้านเพราะเกรงว่าจะเป็นที่ครหา ด้วยไปขอลูกหลานชาวบ้านเขาไม่ยกให้แล้วพาลหาเรื่องประหารเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พระเจ้าการพเลยแก้เผ็ดด้วยการมีรับสั่งให้ตายายสร้างตำหนักเงินตำหนักทองรอรับเสด็จเจ้าชายภายใน 7 วัน หากเสร็จไม่ทันต้องมีโทษ นางอุทัยเห็นว่าสองตายายเดือดร้อนเพราะตน ตอนเที่ยงคืนจึงออกมาจากซากคางคกใช้แหวนวิเศษของธิดาพญานาคผู้เป็นมารดา เนรมิตปราสาทเงินปราสาททองเสร็จในชั่วพริบตา ฝ่ายพระอินทร์ได้มาช่วยเนรมิตสะพานเงินสะพานทองให้ตามที่เจ้าชายสุทราชกุมารอธิษฐานขอเพราะเห็นว่าเป็นเนื้อคู่สร้างสมบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน พระเจ้าการพเห็นว่าทั้งสองต่างเป็นผู้มีบุญญาธิการเสมอกัน จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางอุทัยเป็นราชเทวีของเจ้าชายสุทราชกุมารอย่างสมพระเกียรติ นางอุทัยเทวีได้เนรมิตสระน้ำไว้ริมพระราชวังเพื่อใช้เป็นที่สรงน้ำ เนื่องจากนางชอบเล่นน้ำตามเชื้อสายนาคราชฝ่ายพระเจ้ากัญจาราช และพระนางสันตา แห่งจุโลมนคร พระธิดาของพระองค์คือเจ้าหญิงฉันนา เป็นคู่หมั้นกับเจ้าชายสุทราชกุมาร ด้วยพระเจ้าการพเคยให้สัญญากับพระเจ้ากัญจาราชไว้ว่า เมื่อพระราชบุตรและพระราชธิดาของทั้งสองถึงวัยครองเรือนก็จะให้อภิเษกสมรสกัน แต่เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานถึง 15 ปี จนพระเจ้าการพทรงลืมเลือน พระเจ้ากัญจาราชจึงมีราชสาสน์มาทวงถาม พระเจ้าการพขอให้เจ้าชายสุทราชกุมารไปอภิเษกกับเจ้าหญิงฉันนาคู่หมั้นเดิม ด้วยเกรงว่าหากผิดใจกับพระเจ้ากัญจาราชอาจเกิดศึกสงคราม ซึ่งเมืองการพเป็นเมืองเล็กกว่าย่อมเสียเปรียบ เจ้าชายสุทราชกุมารเกรงอาณาประชาราษฎร์จะเดือดร้อนรีบนำความไปปรึกษากับนางอุทัยเทวี นางอุทัยเทวีเชื่อในน้ำพระทัยของเจ้าชายสุทราชกุมารและเห็นแก่บ้านเมืองก็อนุญาตให้พระสวามีไปอภิเษกตามข้อผูกมัด เจ้าชายสุทราชกุมารได้ให้ช่างปั้นรูปเหมือนของตนไว้ให้นางอุทัยเทวี และนำรูปเหมือนของพระชายาไปยังจุโลมนครด้วยเพื่อเป็นที่ระลึก พร้อมรับสั่งว่าอีกไม่นานจะกลับมาหานางเช่นเดิม หลังจากอภิเษกกับเจ้าหญิงฉันนาด้วยความจำเป็นแล้ว เจ้าชายสุทราชกุมารก็ไม่ได้สนใจไยดี ด้วยมีใจรักคงมั่นต่อนางอุทัยเทวี เจ้าหญิงฉันนาเกิดความน้อยพระทัยเมื่อทราบความจริงจากข้าหลวงคนสนิทก็คิดริษยา สั่งให้นำรูปนางอุทัยเทวีไปทิ้งน้ำแทนที่เจ้าชายสุทราชกุมารจะลืมเลือนนางอันเป็นที่รัก กลับยิ่งเฝ้าเพ้อคร่ำครวญถึงแต่นางอุทัยเทวีไม่สร่างซา มิหนำซ้ำยังพลอยโกรธเคืองเจ้าหญิงฉันนาทำให้หมางเมินยิ่งกว่าแต่ก่อน เจ้าหญิงฉันนายังไม่ยอมสำนึกตัวหันมาสร้างความดีเอาชนะใจเจ้าชาย กลับเชื่อแรงยุข้าหลวงคนสนิททำการว่าจ้างสองตายายผู้วิเศษให้ไปลวงจับเอานางอุทัยเทวีมากักขังไว้สองตายายขี่เรือพยนต์เหาะมาหานางอุทัยเทวีถึงเมืองการพแล้วลวงว่าเจ้าชายสุทราชกุมารให้มารับไปอยู่ด้วยกัน นางอุทัยเทวีหลงเชื่อนั่งเรือยนต์ไปกับตายายจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหญิงฉันนา ด้วยความแค้นเจ้าหญิงฉันนาสั่งให้เฆี่ยนนางอุทัยเทวีจนสลบ แล้วให้สองตายายเจ้าเล่ห์นำไปทิ้งแม่น้ำเพราะเข้าใจว่านางอุทัยเทวีสิ้นชีวิตไปแล้วนางอุทัยเทวีมีเชื้อสายนาคราชพอร่างถูกน้ำก็ฟื้นขึ้นมา พอดีแม่ค้าขายขนมพายเรือผ่านมาจึงช่วยเอาไว้และพาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านของตนซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ นางอุทัยอาสาพายเรือขายขนมแทนแม่ค้าโดยแปลงกายเป็นหญิงชราแต่มีผมดำสนิท แล้วพายเรือไปขายแถวท่าน้ำพระราชวังส่วนเจ้าหญิงฉันนานั้นผลกรรมได้ตามสนองทำให้ผมหงอกขาวโพลนหมดทั้งศีรษะ นางข้าหลวงคนสนิทจึงพาหญิงชราขายขนมซึ่งยังมีผมหงอกดำทั้งที่สูงวัยแล้วมาเฝ้าเจ้าหญิงฉันนาเพื่อให้ช่วยรักษา หญิงชราจึงโกนผมเจ้าหญิงฉันนาและเอาปลาร้าพอกจนทั่วแล้วใช้หม้อดินครอบเอาไว้ บอกว่าเป็นยาวิเศษอีก 7 วัน จะมาเอาหม้อที่ครอบไว้ออก ให้แผลที่ถูกมีดโกนผมบาดทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจนเจ้าหญิงฉันนาสิ้นใจในเวลาต่อมาเพราะหมอหลวงทำการรักษาไม่ทัน เจ้าชายสุทราชกุมารบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าหญิงฉันนา เมื่อสึกแล้วจึงลาพระเจ้ากัญจาราชกลับไปยังเมืองการพของตนตามเดิม พระเจ้าการพได้มอบราชสมบัติให้เจ้าชายสุทราชกุมารและนางอุทัยเทวีครอบครอง บ้านเมืองก็สงบสุขเจริญรุ่งเรืองนับแต่นั้นมา